บทความ SEO ที่ดีเป็นยังไง ต้องมีองค์ประกอบอะไรถึงจะปัง

บทความ SEO ที่ดีเป็นยังไง ต้องมีองค์ประกอบอะไรถึงจะปัง

หนึ่งในส่วนสำคัญของการทำ SEO เพื่อโปรโมทธุรกิจบนโลกออนไลน์คือการทำคอนเทนต์บนบทความ SEO ให้โดนใจลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งการทำบทความ SEO ให้ประสบความสำเร็จไม่ได้มีหลักสูตรตายตัวหรือมีกฎที่ต้องปฏิบัติตาม จึงทำให้คนที่กำลังเริ่มทำ SEO ด้วยตัวเองรู้สึกสับสนได้ ดังนั้นวันนี้เราได้ทำการรวบรวมข้อแนะนำเกี่ยวกับองค์ประกอบสำคัญของบทความ SEO เพื่อเป็นแนวทางพื้นฐานให้ทุกคนลองนำไปใช้ดู

  1. คีย์เวิร์ดที่ใช่

องค์ประกอบที่ช่วยเชื่อมโยงการเสิร์จหาบนโลกออนไลน์กับบทความ SEO ที่เราสร้างขึ้นคือคีย์เวิร์ด SEO นี่เอง โดยคีย์เวิร์ดควรเป็นคำ วลี หรือประโยคที่มีปริมาณการเสิร์จหาพอสมควร สามารถใช้ในการทำการตลาดแข่งขันกับธุรกิจประเภทเดียวกันได้ และมีความเกี่ยวข้องสอดคล้องกับธุรกิจที่ต้องการโปรโมท ซึ่งคีย์เวิร์ดนี้ต้องถูกใช้ในหลายจุดของบทความ เช่น ชื่อ เนื้อหา รวมทั้งลิงก์ของเว็บเพจ

  1. ชื่อเรื่องที่ดึงดูด

สิ่งแรกที่ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเห็นคือชื่อของบทความ ดังนั้นการตั้งชื่อบทความต้องมีความดึงดูด กระตุ้นความสนใจให้อยากกดเข้ามาดูในเว็บไซต์ โดยชื่อบทความควรตั้งให้กระชับและประกอบไปด้วยคีย์เวิร์ดที่ต้องการใช้ นอกจากนั้นชื่อหัวข้อต้องครอบคลุมเนื้อหาอย่างตรงไปตรงมา เห็นแล้วต้องรู้ทันทีว่าต้องการสื่อสารอะไรกับผู้อ่าน

  1. คอนเทนต์ที่ตรงใจลูกค้า

การจะเขียนบทความให้ตรงใจลูกค้าจะต้องพิจารณาว่าลูกค้าต้องการคำตอบหรือคำแนะนำอะไร แล้วลูกค้าจะหาคำตอบที่ต้องการผ่านคำค้นหาแบบไหน แล้วพยายามเขียนเนื้อหาให้ตรงประเด็นกับสิ่งที่ลูกค้าสนใจหรือสงสัย ข้อมูลที่นำเสนอในบทความควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และไม่มุ่งเน้นการขายของเพียงอย่างเดียว แต่ควรให้ความรู้หรือคำแนะนำแก่ผู้สนใจได้อย่างยอดเยี่ยม จึงจะได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค

  1. ความยาวที่เหมาะสม

การเขียนบทความ SEO ควรมีความยาวที่เหมาะสม ไม่สั้นหรือยาวจนเกินไป ควรอยู่ในความยาวที่สามารถสื่อสารข้อมูลได้อย่างครบถ้วน ไม่น่าเบื่อ ดังนั้นเนื้อหาที่สื่อสารต้องมีความกระชับ สามารถแสดงผลบนมือถือได้พอเหมาะพอดี โดยความยาวที่แนะนำสำหรับบทความ SEO คือประมาณ 500-1000 คำ

  1. ภาพประกอบที่โดดเด่น

การทำ SEO รูปภาพนับว่ามีความสำคัญเช่นกัน โดยควรเลือกภาพที่สอดคล้องและสามารถใช้นำเสนอเนื้อหาของบทความได้อย่างชัดเจน ภาพที่นำมาใช้ต้องมีความโดดเด่นและมีลิขสิทธิ์ที่ถูกต้อง การแนบภาพลงบนเว็บไซต์ไม่ควรมีขนาดใหญ่เกินไปจนต้องใช้เวลาในการโหลดนาน

ทั้ง 5 องค์ประกอบเป็นหลักการพื้นฐานที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการทำบทความ SEO ได้ทุกประเภทที่จะทำให้บทความเป็นที่สนใจของกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น โดยสิ่งที่ต้องยึดมั่นเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการทำ SEO คือความต้องการในการสร้างประสบการณ์อันดีที่จะเกิดขึ้นขณะเข้าใช้งานเว็บไซต์ สิ่งนี้จะทำให้ผลของ SEO มีประสิทธิภาพอย่างยาวนานและส่งผลดีโดยตรงกับธุรกิจ

SEO คืออะไร มีขั้นตอนในการทำอย่างไร

SEO คืออะไร มีขั้นตอนในการทำอย่างไร

แม้ว่าการตลาดทางโซเชียลมีเดียจะได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่การทำการตลาดโดยการทำ SEO ก็เป็นสิ่งที่คุณไม่ควรมองข้าม โดยในบทความนี้จะอธิบายในภาพรวมเกี่ยวกับ SEO ทั้งหมดว่ามันคืออะไรกันแน่ และมีขั้นตอนในการทำอย่างไร

SEO คืออะไร?

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization คือ วิธีการทำอันดับเว็บไซต์ของเราตาม “คำค้นหา หรือ คีย์เวิร์ด” ที่เราต้องการบนเสิร์ชเอนจิน เช่น Google หรือ Bing โดยจุดประสงค์ก็คือต้องการเพิ่มผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ให้มีมากขึ้น เพราะว่าหากเว็บไซต์ของเราติดหน้าแรกตามคีย์เวิร์ดที่เราทำบนเสิร์ชเอนจินอย่าง Google ในอันดับที่ดีแล้ว เว็บไซต์ก็จะมีผู้เข้าชมซึ่งมีโอกาสจะซื้อสินค้าหรือบริการกับเราได้

ขั้นตอนในการทำ SEO มีดังนี้

หาคีย์เวิร์ด (Keywords)

คีย์เวิร์ด คือ คำหรือวลี อาจเป็นคำถามที่ต้องการคำตอบ เช่น “เจลว่านหางจระเข้ ยี่ห้อไหนดี” หรืออาจเป็นคำที่สื่อถึงการซื้อขายเลย เช่น “ซื้อรองเท้ามือสอง” โดยคำค้นหาเหล่านี้จะต้องมีจำนวนคนค้นหาผ่านเสิร์ชเอนจิน ซึ่งเราสามารถเช็กจำนวนคนค้นหาได้จากเครื่องมือต่าง ๆ ทางออนไลน์ได้

คีย์เวิร์ดที่มีจำนวนคนค้นหาจำนวนมากก็มีโอกาสที่จะทำให้เว็บไซต์ได้รับจำนวนผู้เข้าชมมากตามไปด้วย หากคุณทำ SEO ให้ติดอันดับดี ๆได้

วางโครงสร้างเว็บไซต์ 

เว็บคุณจะมีกี่บทความ มีกี่หน้า คุณต้องวางแผนให้ละเอียด เพื่อที่จะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ที่เข้ามาใช้งานเว็บไซต์ใช้งานได้ง่าย

ทำบทความเตรียมไว้

ความสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่สำคัญในการทำ SEO หากคุณวางแผนจะทำเว็บไซต์ให้มี 100 บทความ คุณก็เตรียมไว้ทั้งหมดเลย แล้วค่อยทยอยโพส มันจะสม่ำเสมอกว่าการที่คุณทยอยทำทีละบทความ

ปรับเนื้อหาบทความให้ถูกใจเสิร์จเอนจิน (On-page SEO)

บทความของคุณที่เตรียมโพสในเว็บไซต์จะต้องมีการปรับให้ถูกใจเสิร์จเอนจินที่คุณต้องการทำอันดับ สิ่งที่ต้องทำแน่ๆเลยคือเนื้อหาต้องอ่านรู้เรื่อง มีหัวข้อต่าง ๆ เพื่อทำให้อ่านง่าย และที่สำคัญคุณควรใส่คีย์เวิร์ดที่คุณต้องการทำอันดับในบทความด้วย

โปรโมทเว็บไซต์ (Off-page SEO)

เว็บที่ทำขึ้นมาควรมีการโปรโมทเพื่อเพิ่มโอกาสในการมองเห็น คุณอาจแชร์เว็บไซต์ของคุณที่โซเชียลมีเดียต่าง ๆ หรือว่าเว็บบอร์ด เพื่อทำให้คนรู้จักมากขึ้น

ประเมินผล

คุณควรติดตั้งเว็บไซต์ของคุณที่ Search Console ซึ่งเป็นบริการของกูเกิ้ล ไว้สำหรับเช็กอันดับเว็บไซต์ หรือไว้เช็กหาสาเหตุและปัญหาต่างๆที่อาจเกิดขึ้นกับเว็บไซต์ของคุณ เครื่องมือนี้มีประโยชน์มาก ๆ และที่สำคัญเลยคือ “ใช้ฟรี”

การทำอันดับเว็บไซต์โดยการทำ SEO อาจใช้เวลาสักหน่อย (โดยประมาณแล้ว 3-6 เดือน) กว่าจะติดอันดับในหน้าแรก แต่เชื่อเถอะหากคุณทำได้มันจะสามารถเพิ่มผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์และสามารถสร้างยอดขายให้กับคุณได้อย่างแน่นอน

เคล็ดลับ 5 ข้อ การเขียนบทความ SEO ให้ได้ผลเลิศ

เคล็ดลับ 5 ข้อ การเขียนบทความ SEO ให้ได้ผลเลิศ

การเขียนบทความ SEO ที่ย่อมาจาก Search engine optimization คือการเขียนบทความให้ Search engine อย่างเช่น Google สามารถค้นหาบทความของเราเจอ เมื่อมีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตพิมพ์ Keywords เพื่อค้นหา ยกตัวอย่างเช่น นายสมชายต้องการข้อมูลรถยนต์ตนเองที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล จึงพิมพ์คำว่า “รถเครื่องยนต์ดีเซล” ลงใน Google.com ทีนี้เราบังเอิญได้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในเว็บไซต์ของเรา บทความของเราจึงปรากฏขึ้นให้นายสมชายเห็นและได้อ่าน

ปัญหาก็คือ เวลาเขียนบทความ เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า Google จะค้นเจอบทความของเราและนำมาแสดงผลในลำดับต้น ๆ นี่เอง จึงต้องมีวิธีการเขียนบทความ SEO

5 เคล็ดลับเพื่อให้ Search engine การค้นพบบทความของคุณ

1. เลือก Keywords ให้ง่าย และ เหมาะสม

อย่างที่ยกตัวอย่างไปจะเห็นได้ว่า Keywords มีความสำคัญอย่างมาก ดังนั้นเวลาเราเขียนบทความให้พึงระลึกอยู่เสมอว่า คำใดคือ Keywords สำคัญของเนื้อหา พูดง่าย ๆ ถ้าเราเป็นนายสมชายเราจะใช้คำใดเพื่อค้นหา แล้วให้วางลงในตำแหน่งสำคัญ Keywords สามารถมีมากกว่า 1 คำ แต่อย่าให้มากจนเกินไป

เช่น บทความเกี่ยวกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล Keywords สำคัญ ก็คือ “รถยนต์” “รถ” “เครื่องยนต์ดีเซล” “ดีเซล” และเราอาจจะมี Keywords เฉพาะที่ตรงกับประเด็นของเนื้อหาที่เราต้องการจะสื่อ เช่น “ประหยัดน้ำมัน”

2. ตั้งชื่อบทความให้ง่ายที่จะค้นหา

จากนั้นให้วาง Keywords นั้นลงในตำแหน่งสำคัญ ซึ่งตำแหน่งที่สำคัญที่สุดของบทความก็คือ ชื่อบทความ นั่นเอง

เช่น ชื่อบทความว่า “รถยนต์เครื่องยนต์ดีเซล มีข้อดีและประหยัดน้ำมันกว่าคนเข้าใจ” ให้ง่าย ๆ ไม่ยาวจนเกินไป ที่สำคัญใส่ Keywords ให้ครบถ้วน

3. ใส่ Keywords ในตำแหน่งต่าง ๆ ทั่วบทความ

ใน 1-2 ย่อแรกคุณอาจจะเขียนถึงภาพรวมกว้าง ๆ หรือตั้งประเด็นหลัก ๆ ที่จะนำไปสู่เนื้อหาโดยละเอียด ก็ให้ใส่ Keywords ลงไปด้วย สัก 3-6 ครั้ง จากนั้นก็เขียนบทความไปโดยพยายามใส่ Keywords ในบทความ ระวังอย่าใส่ให้บ่อยจนเกินไป มากไปก็ไม่ดีมันจะดูว่าเราวกวน เอาเป็นให้เหมาะสมกับเนื้อหา ให้ผู้อ่านไม่รู้สะดุดเวลาอ่านก็ใช้ได้แล้ว

4. ใช้ Google Trends เพื่อหา Keywords

Google Trends คือเครื่องมือจาก Google ที่ช่วยให้เราสามารถตรวจสอบแนวโน้มความสนใจในการค้นหาเรื่องต่าง ๆ หรือการใช้ Keywords บนโลกออนไลน์ ทำให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อตัดสินเลือกคำหรือเนื้อหาที่จะใช้ได้

5. สร้างลิงก์ให้เยอะ

การสร้างลิงก์ ก็คือ เมื่อเราเขียนบทความเสร็จเรียบร้อย นำบทความลงเว็บไซต์ก็จะเกิดลิงก์ เช่น http://www.mywebsite.com/article01.html นี่ก็คือ 1 ลิงก์ ยิ่งลงหรือโพสต์บทความผ่านโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ต่าง ๆ มากเท่าไร เครื่องมือค้นหาอย่าง Google ก็จะยิ่งให้ความสำคัญและการค้นหาบทความของคุณมากขึ้นเท่านั้น

5 วิธีง่าย ๆ ลองทำดูเพื่อให้ประสิทธิภาพในการเข้าถึงเนื้อหาของเรา อันจะสามารถขยายผลต่อในธุรกิจหรือกิจกรรมของคุณผ่านเครื่องมือในโลกออนไลน์ได้ดีขึ้นด้วย

พัฒนา SEO สำหรับเว็บไซต์ มีเช็กลิสท์อะไรที่ต้องรู้

พัฒนา SEO สำหรับเว็บไซต์ มีเช็กลิสท์อะไรที่ต้องรู้

การออกแบบเว็บไซต์เพื่อทำธุรกิจมีเป้าหมายหลักเพื่อนำเสนอสินค้าหรือบริการต่อผู้บริโภค และยังเป็นช่องทางการสื่อสารที่เจ้าของธุรกิจสามารถใช้ในการแสดงตัวตนของแบรนด์และเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น แต่หากเว็บไซต์ไม่มีใครเข้าชม โอกาสที่ธุรกิจจะได้รับดีลจากลูกค้าคงจะเป็นเรื่องยากและทำให้พลาดโอกาสหลายอย่างไป ดังนั้นการทำ SEO เพื่อเพิ่มอันดับการค้นหาของเว็บไซต์ใน Google ซึ่งเป็นแหล่งค้นหาหลักที่คนไทยใช้บริการกันนับเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการพัฒนาเว็บไซต์ เช็คลิสต์ที่นำเสนอในวันนี้คือสิ่งที่เว็บไซต์ที่ทำ SEO ได้ดีควรมี

  1. หาข้อมูลคีย์เวิร์ดที่ควรใช้

คีย์เวิร์ดเป็นสิ่งสำคัญมากเพราะเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงลูกค้าเข้ามาสู่เว็บไซต์ทางธุรกิจ ต้องมีการคัดเลือกคีย์เวิร์ดที่สอดคล้อง เกี่ยวข้องกับตัวสินค้าโดยตรง และต้องเป็นคำหรือวลีที่มีปริมาณการเสิร์จในปริมาณมาก หรืออาจเป็นคำถามที่ผู้บริโภคมักค้นหาบน Google เพราะถ้าเว็บไซต์ใช้คีย์เวิร์ดตรงกับการค้นหาของลูกค้า หน้าเว็บไซต์จะปรากฏขึ้นมาบนหน้าผลการค้นหา โดยไม่ควรมีคีย์เวิร์ดแค่คำเดียว แต่ควรมีหลากหลายเพื่อครอบคลุมโอกาสในการค้นหาของลูกค้านั่นเอง

  1. ใช้คีย์เวิร์ดที่เลือกในโพสต์

หลังจากเลือกคีย์เวิร์ดที่ใช่และน่าจะตรงใจกลุ่มเป้าหมายแล้ว ขั้นต่อไปคือการนำคำเหล่านั้นมาใช้ในการสร้างคอนเทนต์บนเว็บไซต์ โดยต้องนำมาใส่อย่างเป็นธรรมชาติและมีเนื้อหาที่น่าสนใจ ควรเป็นเนื้อหาที่ตอบคำถามหรือไขข้อข้องใจของผู้บริโภค และเชื่อมโยงให้เกิดการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ จำเอาไว้ว่าไม่ควรยัดคีย์เวิร์ดโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้ความน่าเชื่อถือในสายตาลูกค้าลดลง แถมยังอาจทำให้ถูกลดขั้นการค้นหาอีกด้วย 

  1. ออกแบบเว็บให้ดีและน่าใช้

ถ้าลูกค้าเลือกที่จะกดเข้ามาในหน้าเพจแล้ว แต่กลับต้องมาเจอเว็บไซต์ที่ไม่น่าดู ใช้งานยาก และดูไม่น่าเชื่อถือ ลูกค้าคงรีบถอยหนีกลับไปแทบไม่ทัน ดังนั้นการพัฒนาทั้งรูปลักษณ์และเนื้อหาบนเว็บไซต์จึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยต้องมีเนื้อหาครอบคลุมสิ่งที่ลูกค้าอยากได้จากตัวคีย์เวิร์ดและยังต้องสามารถดูและใช้งานได้ง่ายบนมือถือ เพื่อให้ลูกค้าที่ใช้มือถือค้นหาข้อมูลเข้ามาท่องชมเว็บได้อย่างสะดวกสบาย

  1. เช็คว่า Google เห็นเว็บไซต์เป็นอย่างไร

หลังจากทำเว็บไซต์แล้ว ต้องมีการตรวจสอบว่าหากเข้ามาชมเว็บในฐานะลูกค้า จะเห็นเว็บไซต์มีลักษณะเป็นอย่างไร นอกจากนั้นยังต้องทดลองความเร็วในการโหลดหน้าเว็บให้อยู่ในระดับที่ดี ไม่ช้าจนเกินไป มีหน้าตาของเว็บที่สวยงาม สามารถเลือกสินค้าได้ง่ายไม่ซับซ้อนและเป็นระบบ นอกจากนั้นควรถือโอกาสในการเช็ค Error ต่าง ๆ ในการใช้งานบนเว็บด้วยเช่นกัน

เช็กลิสต์ที่นำเสนอไปมีเป้าหมายเพื่อสร้างเว็บไซต์ที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ดีที่สุด หากธุรกิจไหนที่กำลังอยู่ในขั้นตอนของการสร้างเว็บไซต์ ต้องใส่ใจในการออกแบบ SEO ให้ดี เพราะสิ่งนี้นับเป็นกุญแจที่จะไขไปสู่ความก้าวหน้าทางธุรกิจบนโลกออนไลน์ได้นั่นเอง

เปิดข้อดีของการทำ SEO มือใหม่ทำธุรกิจขนาดเล็กต้องรู้

เปิดข้อดีของการทำ SEO มือใหม่ทำธุรกิจขนาดเล็กต้องรู้

ในยุคที่โซเชียลมีเดียเข้ามามีผลกับชีวิตประจำวันของผู้คน และไม่ว่าใคร ๆ ก็สามารถเป็นเจ้าของธุรกิจได้เพียงปลายนิ้ว นั่นทำให้การแข่งขันในโลกของการตลาด ร้อนแรงและต้องปรับตัวกับการแข่งขันที่สูงขึ้นตามเทคโนโลยีที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว หากมีแต่เพียงสินค้าแต่ไม่มีวิธีการโปรโมทหรือการโฆษณาที่ดี นั่นอาจทำให้คุณสูญเสียยอดขายและฐานลูกค้าไปได้ วันนี้จึงชวนมารู้จัก และเปิดข้อดีของการทำ SEO หนึ่งในตัวช่วยการทำธุรกิจสำหรับมือใหม่ มีข้อดีแค่ไหนไปดู

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกับคำว่า SEO กันเสียก่อน โดย SEO นั้น ย่อมาจาก Search Engine optimization หมายถึงการปรับแต่งเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับการทำงานของ Search Engine ซึ่งเป้าหมายของการทำ SEO คือ ทำให้เว็บไซต์ของคุณ ปรากฏในลำดับต้นๆ ของผลการค้นหา เพื่อทำให้กลุ่มเป้าหมายเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณมากยิ่งขึ้น เมื่อกลุ่มเป้าหมายเห็นเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น หมายความว่ายอดขายของคุณก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นนั่นเอง

อันดับแรกการทำ SEO ทำให้ลูกค้ามาเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณมากขึ้นกว่าการค้นหาทั่วไปอย่างแน่นอน  โดย 60 เปอร์เซ็นต์ของนักการตลาดระบุว่าโอกาสในการขายที่มีคุณภาพสูงสุดมาจากลูกค้าที่มีส่วนร่วมกับ SEO เนื่องจากพวกเขากำลังค้นหาวิธีแก้ปัญหา และด้วยการเป็นหนึ่งในผลลัพธ์อันดับต้น ๆ คุณกำลังตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างดีเยี่ยม

อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญของการทำ SEO นั่นคือการสร้างประสบการณ์บนเว็บที่น่าเชื่อถือให้กับลูกค้า การขึ้นเป็นหน้าแรก และขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในผลการค้นหา รวมถึง ความเร็วของเพจ ลิงก์ย้อนกลับ และองค์ประกอบอื่นๆ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของธุรกิจออนไลน์ของคุณ นอกจากนี้ ยังช่วยให้ลูกค้าไว้วางใจคุณได้ง่ายขึ้นโดยพิจารณาจากฟังก์ชันการทำงานของเว็บไซต์ของคุณ 

นอกจากนี้ การทำ SEO ยังช่วยเปิดลู่ทางในการพัฒนาริเริ่มการทำการตลาดในด้านอื่นๆ อีกด้วย เพราะการค้นคว้าข้อมูลเชิงลึกในด้านการตลาดจากการทำ SEO  จะช่วยกระตุ้นความคิดหรือไอเดียอื่นๆ ในการทำโฆษณาหรือการตลาด ซึ่งการทำสิ่งเหล่านี้สามารถบอกคุณได้ว่าเทรนด์ใดกำลังเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมการตลาด เพื่อเป็นแนวในการพัฒนาต่อยอดโปรเจกต์ต่อไปในอนาคตอันใกล้

สิ่งสำคัญในการทำ SEO นั่นคือการให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้าเป็นอันดับแรก โดยการรักษาฐานกลุ่มเป้าหมาย ทำให้ลูกค้าเข้าถึงเว็บไซต์ และทำให้เว็บไซต์เกิดความน่าเชื่อถือ ยิ่งน่าเชื่อถือมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นเท่านั้น และนั่นทำให้ธุรกิจของคุณที่กำลังเริ่มต้นขึ้นประสบความสำเร็จได้ไม่ยากอย่างแน่นอน

ข้อเสียของ SEO ที่คุณอาจไม่เคยรู้

ข้อเสียของ SEO ที่คุณอาจไม่รู้

แน่นอนว่าตอนนี้กลยุทธ์การใช้ SEO เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสามารถถูกมองเห็นจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นกำลังมาแรงมากๆ นั่นก็เพราะ SEO จะช่วยส่งผู้ชมซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่มีคุณภาพ (มีแนวโน้มตกลงใจซื้อสินค้าหรือบริการ) เข้ามายังเว็บไซต์ของคุณได้มากที่สุด โดย SEO จะช่วยดันให้อันดับของการค้นเจอเว็บไซต์ของคุณอยู่ในหน้าแรกของเสิร์ชเอนจิ้นต่าง ๆ แต่คุณทราบหรือไม่ว่าถึงแม้ SEO จะเป็นเครื่องมือที่ยังประโยชน์อย่างมากมายถึงเพียงนี้ แต่ SEO ก็มีข้อเสียเช่นกัน

ข้อเสียของ SEO เพื่อใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหา ที่คุณอาจไม่เคยรู้

1. SEO ใช้ไม่ได้กับทุกธุรกิจ หรือ สินค้า หรือ บริการ

จุดประสงค์หลักของ SEO นั้น ถือเป็นศิลปะของการถูกมองเห็น แต่ถ้าสิ่งที่คุณต้องการนำเสนอนั้น ไม่มีใครกำลังมองหาล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น

กรณีนี้หมายถึง ถ้าสินค้าของคุณเป็น ‘นวัตกรรมสร้างใหม่’ ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน และไม่มีใครรู้จักมาก่อน นั่นก็หมายความว่า ย่อมไม่มีใครกำลังค้นหาคุณ และนี่ก็คือข้อเสียซึ่งการใช้ SEO ย่อมจะไม่ช่วยธุรกิจของคุณมากนัก

หรือในอีกกรณีหนึ่ง ก็คือ สินค้าของคุณนั้นขายให้กับคนเฉพาะกลุ่ม และเป็นกลุ่มเล็ก ๆ กรณีอย่างนี้การใช้ SEO ย่อมไม่ช่วยให้เกิดผลดีมากนัก แต่คุณควรมุ่งเน้นไปที่งานขายแทน อย่างเช่น ถ้าคุณเป็นบริษัทที่ผลิตระบบระบายอากาศสำหรับเรือดำน้ำนิวเคลียร์ และลูกค้าของคุณก็มีแค่หนึ่งราย ก็คือราชนาวี และเจ้าพนักงานฝ่ายจัดซื้อของกองทัพเรือก็คงไม่ใช้กูเกิ้ล และคำค้นที่ว่า ‘ระบบระบายอากาศเรือดำน้ำ’ สำหรับเลือกพิจารณาจัดซื้อ กรณีอย่างนี้สิ่งที่คุณพอจะทำได้ ก็คือสร้างกลยุทธ์เนื้อหาที่ครอบคลุมหัวข้อที่ลูกค้าสนใจ และตอบคําถามของลูกค้า จัดอันดับสําหรับคําถามคุณเพื่อให้คําตอบที่ดีที่สุด และสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์หรือสินค้าของคุณ

2. ปริมาณการค้นหามาก มีสแปมเข้ามามาก

คุณต้องยอมรับว่าหากมีปริมาณการค้นหามาก นั่นก็หมายความว่าคุณจะมีสแปมเข้ามามากด้วยเช่นกัน ยิ่งเว็บไซต์ของคุณน่าเชื่อถือและได้รับการเยี่ยมเยียนจากผู้คนมากเท่าไหร่ สแปมที่เป็น robot ก็จะหลั่งไหลเข้ามาหาเว็บไซต์ของคุณมากขึ้นเท่านั้น กรณีนี้จะทำอย่างไร คนส่วนใหญ่จะใช้วิธีจัดทำหน้าเงื่อนไขการใช้บริการ และสร้างหัวข้อสำหรับทดสอบว่า ‘คุณไม่ใช่หุ่นยนต์’ หรือ ‘I’m not a robot’ ที่เราเห็นอยู่บ่อย ๆ วิธีนี้จะช่วยลดสแปม โดยที่คุณก็ยังมีความสุขกับโอกาสในการปิดการขายมากขึ้น ที่สำคัญจะช่วยลดเวลาในการกรองเอาพวกมิจฉาชีพ หรือสแปมออกไปได้ด้วย ดังนั้นคุณควรจะรู้จัก SEO ในทุกด้านและลองพิจารณาดูว่า SEO จะช่วยทำให้เว็บไซต์คุณได้รับการมองเห็นมากขึ้นหรือไม่

จำไว้ว่าการใช้ SEO เพื่อเพิ่มอัตราการมองเห็นจำเป็นจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร และหากคุณปรารถนาการได้รับการมองเห็นที่ยืนยาว และความมีชื่อเสียงที่ดีของเว็บไซต์ คุณก็ควรมุ่งมั่นพัฒนาสินค้าและบริการ รวมถึงปรับปรุงคอนเทนต์เนื้อหา SEO ของคุณให้ดี ไม่เพียงแต่จะใช้กับ SEO สายขาวเท่านั้น การทำ SEO สายเทาก็ใช้หลักการเดียวกัน อย่างเช่นเหล่าเว็บผลบอลทั้งหลาย ซึ่งมีคู่แข่งทางการตลาดเต็มไปหมด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหากลยุทธิ์เพื่อเอาชนะคู่แข่งให้ได้ ยกตัวอย่างเช่นเว็บ ทีเด็ดบอลต่อ ก็มีแนวทางการทำ SEO ได้ถูกหลัก จึงทำให้ชื่อเว็บติดหูเหล่าแฟนบอลเป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้นศึกษาและทำตามกฏอย่างละเอียด แล้วการใช้ SEO ของคุณก็จะคุ้มค่าอย่างแน่นอน

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนเลือกจ้างบริษัทรับทำ SEO

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนเลือกจ้างบริษัทรับทำ SEO

เหตุผลที่กลยุทธ์ SEO มีผลสำคัญต่อการทำธุรกิจในทุกวันนี้มากขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปสู่การช้อปปิ้งออนไลน์ทำให้เจ้าของธุรกิจต้องเปิดเว็บไซต์และเจาะเข้าถึงกระเป๋าสตางค์ของผู้บริโภคผ่านทางสื่อโซเชียลหลากหลายช่องทาง การโฟกัสกับ SEO เป็นแผนการทำตลาดออนไลน์ที่คุ้มค่าไม่น้อย สามารถสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างยิ่งขึ้น เพิ่มปริมาณคนเข้าชมเว็บไซต์ทำให้มีโอกาสเพิ่มยอดขายและแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดมาจากคู่แข่งมากขึ้นด้วย การเลือกใช้บริการผู้เชี่ยวชาญ SEO เชี่ยวชาญจริงๆมีความสำคัญไม่น้อย จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเลือกจ้างคนถูกคนแล้ว

คำถามที่ต้องถามก่อนจ้างบริษัทรับทำ SEO

-มีแนวทางและวิธีการทำอย่างไร

สิ่งสำคัญอันดับแรกคือต้องตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่าบริษัทรับทำ SEO มีแนวทางและวิธีการทำอย่างไร สอบถามว่าใช้กลยุทธ์การสร้างลิงก์แบบใด เพราะแบ็กลิงก์ที่มีประสิทธิภาพเป็นส่วนสำคัญที่สุดของการทำ SEO หากเว็บไซต์ภายนอกที่อ้างถึงนั้นมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับย่อมสะท้อนให้เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณเองก็มีคุณภาพเช่นเดียวกัน ผลลัพธ์ที่ตามมาคือความน่าเชื่อถือซึ่งส่งผลดีต่อการจัดอันดับโดยรวมของ Google ทั้งนี้ หลักเกณฑ์การจัดอันดับสมัยก่อนอาจเคยพิจารณาว่าจำนวนลิงก์มากเท่าไรยิ่งมีอันดับที่สูงขึ้น แต่หลักเกณฑ์ในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปแล้ว โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพของลิงก์มากกว่าจำนวน ยิ่งแบ็กลิงก์มีคุณภาพมากเท่าไรยิ่งมีความน่าเชื่อถือ แม้จะไม่ส่งผลโดยตรงต่อการจัดอันดับ แต่ความไว้วางใจของลูกค้าส่งผลดีทำให้มีโอกาสขายได้มากขึ้น

-พิสูจน์ผลลัพธ์ก่อนหน้าได้หรือไม่

บริษัทรับทำ SEO พร้อมให้คำปรึกษาวางแผนการตลาดออนไลน์ให้ธุรกิจควรการันตีผลความสำเร็จได้ในระดับหนึ่ง แน่นอนว่าการจัดอันดับนั้นขึ้นอยู่กับการประเมินของ Google เป็นสำคัญ จึงไม่มีใครสามารถให้คำมั่นสัญญาได้ 100% แต่สามารถอ้างอิงจากเว็บไซต์ลูกค้าที่ติดอันดับอยู่ในหน้าแรกๆ ของ Google ได้ หรืออย่างน้อยก็เป็นแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง นอกจากนี้ยังมีข้อตกลงว่าถ้าใช้บริการ SEO แล้วเว็บไซต์ไม่เลื่อนไปอยู่ในอันดับที่ขึ้นภายใน 6 เดือนถึง 1 ปี จะยกเลิกสัญญาหรือชดเชยอะไรให้บ้าง

-ตรวจสอบผลลัพธ์ของ SEO บ่อยแค่ไหน

กระบวนการทำ SEO ไม่ได้สำเร็จในครั้งเดียว ระยะเวลาวัดผลงานต้องใช้เวลา 6 เดือน เป็นอย่างน้อย และในระหว่างนั้นมีการตรวจสอบผลลัพธ์ของการทำงานว่าเป็นอย่างไร มีการอัปเดทเนื้อหาบทความบ่อยแค่ไหน ลงบทความเดือนละกี่บท ปรับเปลี่ยนคีย์เวิร์ดบ่อยแค่ไหน คำตอบแรกคือในแต่ละเดือนควรโพสต์บทความอย่างน้อย 15-20 บท และคงจำนวนเดิมไว้อย่างสม่ำเสมอดีที่สุด แม้ว่าความถี่ในการลงบทความยิ่งมากยิ่งดี แต่สิ่งที่ละเลยไม่ได้คือคุณภาพของเนื้อหา ถ้าลงบทความแบบเดิมๆ ซ้ำกันและโพสท์จำนวนมากต่อวันอาจกลายเป็นบทความสแปมที่ควรหลีกเลี่ยง เนื้อหาของบทความจึงไม่ควรซ้ำกัน จะใช้กลยุทธ์การอัปเดทเนื้อหาให้ทันสมัย เพิ่มข้อมูลน่าสนใจ หรือเสนอมุมมองใหม่ๆ เช่น ตั้งคำถามที่ลูกค้าอยากรู้และมีคำตอบให้ หรือการเปลี่ยนคีย์เวิร์ดที่ดีกว่าเดิมเพื่อเนื้อหาเว็บไซต์ที่มีประโยชน์มากขึ้น

เทคนิคการเขียนบทความ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับแบบฟรี ๆ

เทคนิคการเขียนบทความ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับแบบฟรี ๆ

บทความหรือคอนเทนต์ก็คือส่วนประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับธุรกิจที่ต้องการทำให้เว็บไซต์ของตัวเองมีการอัปเดตที่จะสร้างให้เกิด Traffic และยอดขาย ยิ่งกับการทำธุรกิจออนไลน์ที่บทความ SEO จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้เว็บไซต์ของธุรกิจติดอันดับการค้นหาใน Google ได้

1. Keyword สิ่งสำคัญที่ต้องมี

การเอาบทความหรือคอนเทนต์ขึ้นเว็บจะไม่มีความหมายเลยถ้าหากว่าเราไม่ได้มีการเลือกใช้ Keyword ที่จะใส่เข้าไปในบทความตามหลักของการทำ SEO ซึ่งสิ่งที่ต้องคิดก็คือเรื่องที่จะเขียนลูกค้าหรือคนที่จะเข้ามาหาบทความอ่าน จะใช้คำไหนในการค้นหาบน Google และนั่นคือโจทย์ที่เราจะต้องเอา Keyword นั้นไปใส่ในบทความของเรา

2. เนื้อหาที่ไม่ยาวแต่ครบ

อย่างที่รู้กันว่าพฤติกรรมการอ่านของคนเรามักจะไม่ชอบอ่านอะไรยาว ๆ ต่อกัน การเขียนคอนเทนต์ SEO จึงควรกำหนดจำนวนความยาวที่เหมาะสม บทความนั้นจะต้องมีความยาวที่พอดี ไม่มากไปไม่น้อยไป เพื่อคนอ่านไม่รู้สึกเบื่อและทำให้อ่านได้ไม่จบ และสิ่งสำคัญคือในบทความที่มีความยาวพอดี ๆ ควรจะต้องมีเนื้อหาสำคัญที่ครบถ้วนด้วย

3. สื่อที่ไม่ได้มีแค่ข้อความ

คอนเทนต์ที่น่าสนใจเดี๋ยวนี้จะมีแต่ตัวหนังสืออย่างเดียวไม่ได้ ถ้าอยากกระตุ้นให้คนเลือกกดเข้ามาอ่านและอยู่กับคอนเทนต์ของเราได้นาน ๆ ควรมีการเอาภาพหรือวิดีโอเข้ามาใส่ในบทความเพื่อให้งานเขียนมีความน่าสนใจมากขึ้น และอย่าลืมเรื่อง Alt Text ของภาพ เพราะการตั้งชื่อสื่อที่เอามาใส่นั้นจะส่งผลต่อการทำ SEO ก่อนอัปโหลดขึ้นเว็บควรตั้งชื่อที่มี Keyword ให้กับภาพด้วย

4. บทความคุณภาพและความต่อเนื่องในการอัปเดต

เพราะการทำ SEO ที่ดีที่สุดคือการเลือกใช้บทความที่มีคุณภาพ จริง ๆ อยู่ว่าการนั่งพิมพ์นั่งเขียนเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็ทำได้ แต่บทความที่จะเอามาทำ SEO งานเขียนนั้นควรต้องมีคุณภาพ ทั้งในเรื่องของความยาวของบทความ เนื้อหาที่นำเสนอ และความน่าสนใจในรายละเอียดของการใช้คำ นอกจากนั้นแล้ว Google จะชอบมาก ๆ กับเว็บไซต์ที่มีการอัปเดตที่ต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้ Google เลือกเอาเว็บไซต์ของธุรกิจขึ้นมาอยู่ในอันดับต้น ๆ

ด้วยความเข้าใจถึงเทคนิคในการเขียนบทความ SEO ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้ Keyword ที่ส่งผลต่อการจัดอันดับให้มีประสิทธิภาพ และเพื่อสร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจ ที่มีเนื้อหาที่กระตุ้นให้เกิดยอดขาย ทั้งหมดนี้คือส่วนผสมที่มีความสำคัญ ที่ถ้าหากเรานำมาใช้ได้ลงตัว ธุรกิจก็จะไปได้ไกลกว่าแถมยังไม่ต้องลงทุนยิง Ads ให้เสียเงินด้วย

วิธีวัดผล SEO ว่ามีประสิทธิภาพต้องทำอย่างไร

วิธีวัดผล SEO ว่ามีประสิทธิภาพต้องทำอย่างไร

การทำ SEO คือวิธีการที่ทำให้เว็บไซต์สามารถติดอันดับบน Google ได้ ดังนั้นเป้าหมายความสำเร็จในการทำ SEO ที่ดี คือยอดอันดับการค้นหาที่อยู่ในลำดับต้น แต่ในความเป็นจริงการวัดผล SEO ที่ดีควรมีมากกว่าแค่การวัดผลจากเกณฑ์การจัดลำดับการค้นหาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยวิธีการวัดผลประสิทธิภาพของ SEO ยังมีวิธีการอื่น ๆ ดังต่อไปนี้

SEO analytics คือ

SEO analytics คือขั้นตอนในการประมวลผลข้อมูลเพื่อนำมาพัฒนา และปรับปรุงการทำ SEO (search engine optimization) ให้ดีมากยิ่งขึ้น เป็นการช่วยลำดับความสำคัญของคีย์ที่ต้องใช้ การประมวลผลแคมเปญ และวิธีการเข้าถึงรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้การทำ SEO และเว็บไซต์มีคุณภาพดีมากขึ้น

ความสำคัญของ SEO analytics

เว็บไซต์ในรูปแบบธุรกิจ หน่วยงานราชการ หรือหน่วยงานเอกชนใด ๆ ล้วนจะเป็นต้องใช้ชุดข้อมูลที่มีประโยชน์และมักต้องใช้เป็นจำนวนมาก การนำข้อมูลต่าง ๆ มาใช้นั้น ต้องเริ่มจาดการวางแผนด้านกลยุทธ์ ปรับเปลี่ยน พัฒนาระบบ คิดวิเคราะห์หากลุ่มเป้าหมาย และข้อมูลอื่น ๆ ที่จำเป็น เพื่อช่วยให้ธุรกิจของเว็บไซต์เกิดการเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด

ข้อมูลสำคัญที่ SEO analytics ใช้บอกประสิทธิภาพของ SEO

มีผู้เข้าชมเว็บไซต์มากแค่ไหน
ประสิทธิภาพในการเพิ่มยอดขายเป็นอย่างไร
เนื้อหาใดที่มีผู้อ่านมากที่สุด
ผู้อ่านชอบเนื้อหาเหล่านั้นหรือไม่
ผู้อ่านรู้จักเว็บไซต์จากช่องทางใดบ้าง
คู่แข่งของธุรกิจกำลังทำอะไร
วิธีการสร้าง backlinks เพิ่มเติม
งบประมาณที่ใช้ในการทำ SEO

ขั้นตอนการเก็บข้อมูล SEO analytics

ข้อมูลของแต่ละธุรกิจล้วนแตกต่างกัน ข้อมูลยิ่งมาก การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายก็ยิ่งมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น แต่ยิ่งวิเคราะห์ออกมาได้มากเท่าใด ก็ยิ่งทำให้การวางแผนกลยุทธ์ของธุรกิจมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

วางแผนการทำงาน เป็นวิธีช่วยให้การทำงานชัดเจนและทราบเป้าหมายที่ต้องการได้ สามารถกำหนดขั้นตอนการทำงานได้ เริ่มจากการตั้งคำถาม และตามหาคำตอบที่ต้องการ และสามารถนำมาใช้งานได้

กำหนดค่าการเริ่มต้นของเครื่องมือให้เหมาะสม ต้องปรับให้เหมาะสมกับข้อมูลที่ต้องการ และข้อมูลนั้นจะถูกนำไปใช้ทำอะไรบ้าง เพื่อให้สามารถกำหนดเครื่องมือที่จะใช้ในการเก็บข้อมูลไว้วัดผลได้อย่างเหมาะสม ซึ่งในปัจจุบันมีชุดข้อมูลที่ใช้งานอย่างแพร่หลายอยู่ดังนี้ Google Search Console (GSC) เป็นโปรแกรมแสดงข้อมูล เพื่อให้เกิดความเข้าใจว่ามีข้อมูลอะไรบ้างที่ปรากฏในผลการค้นหาของ google และตำแหน่งในการค้นหาอย่าง SERP (search engine results page) ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่าคอนเทนต์ไหน บทความไหนที่ทำงานได้ดี สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้อ่าน และสร้างผู้ติดตามให้เพิ่มขึ้น หรือนำไปสู่การได้ลูกค้าใหม่ ๆ นั่นเอง หรือใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Google Analytics ซึ่งจะช่วยให้เห็นชุดข้อมูลที่แสดงพฤติกรรม ของผู้ใช้งานเว็บไซต์ แสดงให้เห็นว่าเว็บไซต์ใดมีการเข้าถึงบ้าง และเกิดปฏิสัมพันธ์กับผู้เยี่ยมชมอย่างไร และAhrefs.com เป็นโปรแกรมสำหรับ SEO Tool ที่มีค่าใช้จ่าย แต่สามารถตั้งค่าการใช้งานตามต้องการได้

การตั้งค่ากระดานรายงานผล (Dashboard) เป็นวิธีที่ช่วยให้ข้อมูลการรายงานผลสามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้น และสามารถเห็นข้อมูลที่ต้องการได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ช่วยให้สามารถเห็นข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปวิเคราะห์และนำไปใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาเนื้อหาของ SEO ได้ต่อไป ในปัจจุบันมีการทำโปรแกรมเพื่อช่วยในการทำงานอย่าง google data studio อีกด้วย โดยจะรายงานผลตามข้อมูลที่ต้องการในรูปแบบของกราฟหรือตารางชุดข้อมูลที่เข้าใจได้ง่าย และสามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากผลที่แสดงได้ทันที

การตรวจสอบข้อมูล เมื่อได้ผลลัพธ์ต่าง ๆ ตามต้องการแล้ว จำเป็นต้องทำการตรวจสอบอีกครั้งว่าเป็นชุดข้อมูลที่ถูกต้องและมีประโยชน์จริง ๆ หรือไม่ ก่อนนำข้อมูลไปวิเคราะห์ และใช้พัฒนาการทำ SEO ให้ตรงเป้าหมายมากยิ่งขึ้น

ทำไมกลยุทธ์ E-A-T จึงสำคัญต่อการทำ SEO ในรูปแบบของ Niche Market ?

ทำไมกลยุทธ์ E-A-T จึงสำคัญต่อการทำ SEO ในรูปแบบของ Niche Market

การทำ SEO คือหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่หลายบริษัทใช้ เพื่อเพิ่มยอดการมองเห็นสำหรับเว็บไซต์ แต่รู้หรือไม่ว่าการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องใช้เทคนิค E-A-T และยิ่งในยุคปัจจุบันการใช้เทคนิคนี้ยิ่งสำคัญต่อการตลาดออนไลน์ด้วยการเข้ามาของกลุ่มการตลาดใหม่ซึ่งเรียกว่า “Niche Market” ที่ได้รับความนิยมสูงในปี 2022 การใช้ SEO ด้วยเทคนิค E-A-T สำคัญต่อการตลาดเฉพาะกลุ่มอย่างไรเรามาดูกันเลย

ความสำคัญของการใช้ SEO ด้วยเทคนิค E-A-T

Expertise กับ ฐานลูกค้าเฉพาะกลุ่ม

ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าการตลาดเฉพาะกลุ่มลูกค้า (Niche Market) เป็นสิ่งที่ใหม่มากสำหรับประเทศไทย เพราะสินค้าต้องเจาะจงไปยังคนเฉพาะทางจริง ๆ เช่น กลุ่มคนดัดฟันที่มีความต้องการใช้แปรงสีฟันชนิดพิเศษสำหรับคนใส่เหล็กดัดฟัน หรือรีสอร์ตสำหรับคนรักธรรมชาติด้วยการออกแบบ design สำหรับคนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ด้วยการที่ธุรกิจมีความเชี่ยวชาญเฉพาะตัว จำเป็นต้องมีความรู้สำหรับสินค้าและบริการนั้นในองค์ความรู้เชิงลึก ดังนั้นเพื่อการตอบโจทย์การสร้าง SEO ให้โปรโมทเว็บไซต์อย่างมีคุณภาพ เจ้าของแบรนด์ต้องสร้างความรับรู้ของแบรนด์ (brand awareness) ด้วยการทำบทความที่มีคุณภาพความยาวประมาณ 1000 คำ และเนื้อหาอ่านง่ายแต่แฝงด้วยสไตล์ของสินค้าเชิงลึก

ซึ่งเทคนิคที่เจ้าของแบรนด์ต้องทำนี้เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ E-A-T คือ E (Expertise) ที่ผู้จัดทำ SEO ต้องมีความรู้เกี่ยวกับสินค้าอย่างเฉพาะทางต้องไม่มีการใส่การอ้างอิงจากเว็บไซต์ใดเลย เช่น หากเขียนเรื่องกัญชา ผู้เขียนต้องจัดทำบทความด้วยประสบการณ์ของตนที่มี ได้แก่ การผลิต การจัดจำหน่าย ข้อกฎหมาย รวมถึงข้อจำกัดต่างๆ ของการใช้สารสกัดกัญชา แต่ถ้าไม่เลือกที่จะ reference แม้ AI ของ Google จะชอบก็จริงแต่จะเป็นการตั้งคำถามแก่ผู้อ่านว่าคนเขียนเก่งจริงหรือไม่? ดังนั้นอย่างน้อยควรใส่อ้างอิงจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือจากต่างประเทศ เช่น เว็บงานวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาป.โท ป.เอก เป็นต้น และควรหมั่นอัปเดตเว็บไซต์ของเราให้เนื้อหาสดใหม่อยู่เสมอ และสร้างกราฟิกที่น่าสนใจบนเว็บไซต์ จะช่วยให้ AI ของ google ประมวลผลว่าของบทความนี้คือบทความมีคุณภาพ อีกทั้งหากมีคนอ้างอิงบทความเราอีกในอนาคต จะช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับหน้า 1 ได้ไม่ยาก

Authoritativeness ก็สำคัญ

การสร้างให้ผู้เขียนได้รับการยอมรับคือกลยุทธ์ A= Authoritativeness เว็บไซต์สำหรับคนเฉพาะกลุ่มไม่ควรนำเรื่องต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องมาใส่ในเว็บไซต์เช่น ทำเรื่องคลินิกรักษาอาการปวดเมื่อย แต่ก็ไปใส่เนื้อหาที่เกี่ยวกับการออกกำลังกาย ซึ่งจะทำให้ทิศทางของเนื้อหาในเว็บไซต์ไม่ตรงตามความต้องการของลูกค้ารวมทั้งการประมวลผลของ AI และควรทำให้ผู้อ่านทราบด้วยว่าผู้เขียนบทความคือใครด้วยการแชร์ไปยัง social media ต่างๆ เพื่อยืนยันตัวตนของผู้เขียน

Trustworthiness ความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งจำเป็น

การออกแบบเว็บไซต์สำหรับคนเฉพาะกลุ่มจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ T หรือ Trustworthiness ควบคู่ไปด้วย ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ที่กำลังจัดทำอยู่ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้เนื้อหาเชิงลึก กล่าวคือต้องพิสูจน์ได้ว่าผู้เขียนบทความมีตัวตนอยู่บนโลกนี้จริง เช่น ใส่ที่อยู่ติดต่อของผู้จัดทำเว็บไซต์ เราแนะนำว่าควรสร้างโปรไฟล์ของผู้บริหารในเว็บไซต์อย่าง Linkedin ด้วย เพื่อให้มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

การทำ SEO เพื่อจับกลุ่มเป้าหมายแบบ Niche Market ด้วยการใช้กลยุทธ์ E-A-T เป็นหนึ่งในวิธีการสร้างการมองเห็นเว็บเท่านั้น เจ้าของแบรนด์ควรศึกษาวิธีการตลาดรูปแบบอื่นเพื่อ boost เว็บไซต์ด้วย