seoที่ถูกต้องควรทำอย่างไร

seoที่ถูกต้องควรทำอย่างไร

การทำ SEO (Search Engine Optimization) เพื่อปรับปรุงการทำให้เว็บไซต์ของคุณมีการแสดงผลดีในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา เช่น Google มีหลายแง่มุมและวิธีการที่คุณสามารถใช้เพื่อเริ่มต้นทำ SEO ต่อไปนี้คือขั้นตอนหลักที่ควรพิจารณา

1.การค้นหาคำสำคัญ (Keyword Research) ค้นหาและเลือกคำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์ของคุณที่มีความนิยมและมีความสำคัญในการค้นหาของผู้ใช้งาน เครื่องมือเช่น Google Keyword Planner หรือ SEMrush เป็นตัวช่วยที่ดีในการวิเคราะห์และค้นหาคำสำคัญที่เหมาะสม.

2.การปรับแต่งเนื้อหา (Content Optimization) สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงและเกี่ยวข้องกับคำสำคัญที่เลือก เนื้อหาควรเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์แก่ผู้ใช้งาน และมีโครงสร้างที่เป็นระเบียบ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานได้ข้อมูลที่ต้องการอย่างชัดเจน.

3.การปรับปรุงเว็บไซต์ (On-page Optimization) ปรับปรุงโครงสร้างและเนื้อหาของเว็บไซต์ เช่น การใช้งานแท็ก meta, การปรับแต่ง URL และการเพิ่มข้อความลิงก์ภายใน (internal linking) เพื่อช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจและทำความเข้าใจเนื้อหาของคุณได้ดีขึ้น.

4.การสร้าง Backlinks (Off-page Optimization) สร้างลิงค์จากเว็บไซต์อื่นๆ ที่มีความเกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มความเชื่อถือและความน่าสนใจของเว็บไซต์ของคุณในสายตาของเครื่องมือค้นหา การใช้ Guest blogging หรือการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมออนไลน์เป็นวิธีที่ดีในการสร้าง Backlinks.

5.การตรวจสอบและวัดผล (Monitoring and Measurement) ตรวจสอบผลการทำ SEO อย่างสม่ำเสมอโดยใช้เครื่องมือการวัดผล เช่น Google Analytics หรือ Google Search Console เพื่อวิเคราะห์และปรับปรุงกิจกรรม SEO ต่อไป.

6.การพัฒนาปรับปรุงต่อไป (Continuous Improvement) SEO เป็นกระบวนการที่ต้องปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ตลอดเวลาคุณควรทำการทดลองและปรับปรุงเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของกิจกรรม SEO ของคุณ.

การทำ SEO มีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น การเริ่มต้นทำ SEO ควรมีการวางแผนและการทดลองเพื่อหาวิธีที่เหมาะสมและประสบความสำเร็จสูงสุดสำหรับเว็บไซต์ของคุณ.

seo ต้องให้ความสำคัญอย่างไร

seo ต้องให้ความสำคัญอย่างไร

ความสำคัญของ SEO สำหรับเว็บไซต์ของคุณขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่

1.เป้าหมายโดยรวมของคุณ

-การเข้าชมแบบออร์แกนิกที่เพิ่มขึ้น: หากคุณต้องการดึงดูดผู้เยี่ยมชมมายังเว็บไซต์ของคุณมากขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึ่งการโฆษณาแบบเสียเงิน SEO ก็เป็นสิ่งสำคัญ การเข้าชมทั่วไปมีแนวโน้มที่จะตรงเป้าหมายและมีส่วนร่วมมากกว่าการเข้าชมที่เสียค่าใช้จ่าย ส่งผลให้มีอัตราคอนเวอร์ชันที่สูงขึ้น

-การรับรู้ถึงแบรนด์: SEO สามารถช่วยให้คุณปรับปรุงการมองเห็นแบรนด์ของคุณโดยการจัดอันดับที่สูงขึ้นในผลการค้นหาสำหรับคำหลักที่เกี่ยวข้อง สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การรับรู้และการรับรู้ถึงแบรนด์ที่เพิ่มขึ้น

-การสร้างลูกค้าเป้าหมายและการขาย: หากเว็บไซต์ของคุณมีเป้าหมายเพื่อสร้างโอกาสในการขายหรือการขาย SEO สามารถช่วยให้คุณเข้าถึงผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าที่กำลังค้นหาผลิตภัณฑ์หรือบริการเช่นคุณได้

2.อุตสาหกรรมและการแข่งขันของคุณ

-อุตสาหกรรมที่มีการแข่งขัน: ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง SEO มีความสำคัญมากยิ่งขึ้น เนื่องจากการทำให้โดดเด่นในเชิงอินทรีย์อาจเป็นเรื่องยากหากไม่มีเนื้อหาและด้านเทคนิคที่ได้รับการปรับปรุง

-ธุรกิจในท้องถิ่น: หากคุณดำเนินธุรกิจในท้องถิ่น SEO ในท้องถิ่นมีความสำคัญอย่างยิ่งในการดึงดูดลูกค้าที่ค้นหาบริการในพื้นที่ของคุณ

3.งบประมาณและทรัพยากรของคุณ

เวลาและความพยายาม: การใช้กลยุทธ์ SEO ที่มีประสิทธิภาพต้องใช้เวลาและความพยายาม ไม่ว่าคุณจะทำเองหรือจ้างเอเจนซี่ก็ตาม

ทรัพยากรทางการเงิน: การจ้างผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO หรือเอเจนซี่อาจมีราคาแพง ดังนั้นให้พิจารณาข้อจำกัดด้านงบประมาณของคุณด้วย

ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดทั่วไปเกี่ยวกับความสำคัญของ SEO

-สำหรับธุรกิจที่ต้องพึ่งพาการเข้าชมแบบออร์แกนิกและการสร้างโอกาสในการขายเป็นอย่างมาก: SEO ถือเป็นสิ่งสำคัญ

-สำหรับธุรกิจที่มีตราสินค้าที่แข็งแกร่งและช่องทางการตลาดอื่นๆ: SEO ยังคงมีคุณค่าแต่อาจไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด

-สำหรับธุรกิจขนาดเล็กในท้องถิ่น: SEO ในท้องถิ่นสามารถให้ประสิทธิผลสูงและค่อนข้างคุ้มต้นทุน

-ท้ายที่สุดแล้ว การตัดสินใจว่า SEO มีความสำคัญต่อเว็บไซต์ของคุณมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับเป้าหมาย อุตสาหกรรม การแข่งขัน และทรัพยากรของคุณโดยเฉพาะ

ต่อไปนี้เป็นจุดเพิ่มเติมที่ควรพิจารณา

-SEO เป็นกระบวนการที่กำลังดำเนินอยู่ ไม่ใช่การแก้ไขเพียงครั้งเดียว คุณต้องสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณ และสร้างลิงก์ย้อนกลับเพื่อรักษาอันดับของคุณ

-SEO เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จ คุณอาจต้องพิจารณาช่องทางอื่นๆ เช่น การโฆษณาแบบเสียค่าใช้จ่าย การตลาดบนโซเชียลมีเดีย และการตลาดเนื้อหา

แม้ว่า SEO จะมีประสิทธิภาพมาก แต่สิ่งสำคัญคือต้องมีความคาดหวังที่เป็นจริง การดูผลลัพธ์ต้องใช้เวลา และถึงอย่างนั้น ก็ไม่รับประกันว่าคำหลักเป้าหมายของคุณจะอยู่ในอันดับที่หนึ่ง

บทความ SEO ที่ดีเป็นยังไง ต้องมีองค์ประกอบอะไรถึงจะปัง

บทความ SEO ที่ดีเป็นยังไง ต้องมีองค์ประกอบอะไรถึงจะปัง

หนึ่งในส่วนสำคัญของการทำ SEO เพื่อโปรโมทธุรกิจบนโลกออนไลน์คือการทำคอนเทนต์บนบทความ SEO ให้โดนใจลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งการทำบทความ SEO ให้ประสบความสำเร็จไม่ได้มีหลักสูตรตายตัวหรือมีกฎที่ต้องปฏิบัติตาม จึงทำให้คนที่กำลังเริ่มทำ SEO ด้วยตัวเองรู้สึกสับสนได้ ดังนั้นวันนี้เราได้ทำการรวบรวมข้อแนะนำเกี่ยวกับองค์ประกอบสำคัญของบทความ SEO เพื่อเป็นแนวทางพื้นฐานให้ทุกคนลองนำไปใช้ดู

  1. คีย์เวิร์ดที่ใช่

องค์ประกอบที่ช่วยเชื่อมโยงการเสิร์จหาบนโลกออนไลน์กับบทความ SEO ที่เราสร้างขึ้นคือคีย์เวิร์ด SEO นี่เอง โดยคีย์เวิร์ดควรเป็นคำ วลี หรือประโยคที่มีปริมาณการเสิร์จหาพอสมควร สามารถใช้ในการทำการตลาดแข่งขันกับธุรกิจประเภทเดียวกันได้ และมีความเกี่ยวข้องสอดคล้องกับธุรกิจที่ต้องการโปรโมท ซึ่งคีย์เวิร์ดนี้ต้องถูกใช้ในหลายจุดของบทความ เช่น ชื่อ เนื้อหา รวมทั้งลิงก์ของเว็บเพจ

  1. ชื่อเรื่องที่ดึงดูด

สิ่งแรกที่ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเห็นคือชื่อของบทความ ดังนั้นการตั้งชื่อบทความต้องมีความดึงดูด กระตุ้นความสนใจให้อยากกดเข้ามาดูในเว็บไซต์ โดยชื่อบทความควรตั้งให้กระชับและประกอบไปด้วยคีย์เวิร์ดที่ต้องการใช้ นอกจากนั้นชื่อหัวข้อต้องครอบคลุมเนื้อหาอย่างตรงไปตรงมา เห็นแล้วต้องรู้ทันทีว่าต้องการสื่อสารอะไรกับผู้อ่าน

  1. คอนเทนต์ที่ตรงใจลูกค้า

การจะเขียนบทความให้ตรงใจลูกค้าจะต้องพิจารณาว่าลูกค้าต้องการคำตอบหรือคำแนะนำอะไร แล้วลูกค้าจะหาคำตอบที่ต้องการผ่านคำค้นหาแบบไหน แล้วพยายามเขียนเนื้อหาให้ตรงประเด็นกับสิ่งที่ลูกค้าสนใจหรือสงสัย ข้อมูลที่นำเสนอในบทความควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และไม่มุ่งเน้นการขายของเพียงอย่างเดียว แต่ควรให้ความรู้หรือคำแนะนำแก่ผู้สนใจได้อย่างยอดเยี่ยม จึงจะได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค

  1. ความยาวที่เหมาะสม

การเขียนบทความ SEO ควรมีความยาวที่เหมาะสม ไม่สั้นหรือยาวจนเกินไป ควรอยู่ในความยาวที่สามารถสื่อสารข้อมูลได้อย่างครบถ้วน ไม่น่าเบื่อ ดังนั้นเนื้อหาที่สื่อสารต้องมีความกระชับ สามารถแสดงผลบนมือถือได้พอเหมาะพอดี โดยความยาวที่แนะนำสำหรับบทความ SEO คือประมาณ 500-1000 คำ

  1. ภาพประกอบที่โดดเด่น

การทำ SEO รูปภาพนับว่ามีความสำคัญเช่นกัน โดยควรเลือกภาพที่สอดคล้องและสามารถใช้นำเสนอเนื้อหาของบทความได้อย่างชัดเจน ภาพที่นำมาใช้ต้องมีความโดดเด่นและมีลิขสิทธิ์ที่ถูกต้อง การแนบภาพลงบนเว็บไซต์ไม่ควรมีขนาดใหญ่เกินไปจนต้องใช้เวลาในการโหลดนาน

ทั้ง 5 องค์ประกอบเป็นหลักการพื้นฐานที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการทำบทความ SEO ได้ทุกประเภทที่จะทำให้บทความเป็นที่สนใจของกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น โดยสิ่งที่ต้องยึดมั่นเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการทำ SEO คือความต้องการในการสร้างประสบการณ์อันดีที่จะเกิดขึ้นขณะเข้าใช้งานเว็บไซต์ สิ่งนี้จะทำให้ผลของ SEO มีประสิทธิภาพอย่างยาวนานและส่งผลดีโดยตรงกับธุรกิจ

บทความ SEO แบบไหนที่ bot ของ Google ชอบ?

บทความแบบไหนที่ Google ชอบ

การทำบทความ SEO นั้น ไม่ได้เป็นสิ่งที่คุณต้องคำนึงถึงคนอ่านบทความเท่านั้น แต่สิ่งที่คุณต้องคำนึงถึงก็คือความต้องการของ search engine ด้วย ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว Google คือ search engine ที่คนเราตั้งใจทำ SEO ให้มีผลต่อการพิจารณาของ Google มากที่สุด เอาล่ะ! ถึงเวลาแล้ว…วันนี้เรามาดูกันว่าบทความแบบไหนที่ Google ชอบและจะให้คะแนนเป็นอันดับต้น ๆ

บทความแบบไหนที่ Google ชอบ

เป็นบทความสดใหม่และมีคุณภาพเสมอ

แน่นอนว่า search engine ทุกเจ้าอยากได้บทความที่สดใหม่หรือที่เราเรียกว่า unique นั่นเอง เพราะมันเป็นบทความที่น่าช่วยสร้างสรรค์พื้นที่บนหน้าเพจของ Google ดูมีอะไรใหม่ ๆ อีกทั้งเป็นสิ่งที่มีคุณภาพในสายตาของผู้ใช้งาน Google

บทความที่ใส่ keyword แบบเป็นธรรมชาติได้ใจ Google

ถ้าเป็นเมื่อก่อน การแปะ keyword ไว้เกือบทุกบรรทัดอาจเป็นสิ่งที่ Google มองข้าม แต่ตอนนี้ Google ได้เปลี่ยนมาชอบบทความที่มี keyword diversity อย่างเป็นธรรมชาติ มากกว่าการอัด keyword แน่นไปหมด เพราะบทความแบบนี้จะช่วยให้คนอ่านสามารถอ่านได้อย่างลื่นไหลไปด้วย

ใส่ keyword ลงไปทุกส่วนประกอบของบทความ

ส่วนประกอบของบทความนั่นมีหลายอย่าง เช่น permalink, meta data, snippet, alt image และอื่น ๆ หากส่วนประกอบเหล่านี้มี keyword อยู่ด้วยก็จะทำให้คุณยิ่งได้คะแนนจาก Google มากขึ้นเท่านั้น และถือว่าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่คุณจะลืมใส่ keyword ไม่ได้เชียว

เอา related keyword มาช่วยก็ดี

เพราะ Google ให้ bot เป็นตัวช่วยในการทำงาน คุณเลยต้องเข้าใจว่าการนำ related keyword มาใช้นั้นเป็นส่วนช่วยให้ bot อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกันได้ ซึ่งเมื่อไหร่ที่คุณมี related keyword ในบทความก็จะทำให้ Google ชอบไปด้วย

ความยาวของบทความประมาณ 1,000 คำ ขึ้นไปกำลังพอดี

เนื่องจากบทความที่มีความยาวประมาณนี้เป็นบทความที่กำลังน่าอ่านพอดี ไม่มากเกินไปที่จะให้คนใช้เวลาอ่าน และไม่น้อยเกินไปที่จะใส่รายละเอียดหรือใจความสำคัญลงไปนั่นเอง ถ้าคุณอยากทำบทความ SEO ล่ะก็ คุณสามารถเขียนในจำนวนคำที่อยู่ในช่วง 1,000 คำ ได้เลย

หากทำ internal link ในบทความที่เกี่ยวข้องกันได้ ก็จะยิ่งช่วยส่งเสริมกัน

หลายคนลืมใส่ internal link เพื่อให้คนที่เข้ามาในเว็บไซต์ของคุณอยู่ได้นานขึ้น หากคุณสามารถใส่เข้าไปในบทความได้ก็จะเป็นการดี เพราะมันไม่ได้มีข้อดีเพียงแค่ช่วยให้คนคลิกไปยังหน้าอื่นบนเว็บไซต์เท่านั้น แต่ Google เองก็มีการให้คะแนนการทำ internal link ด้วยเหมือนกันนะ

เห็นไหมว่าการทำบทความ SEO นั้นไม่ได้เป็นเรื่องยากสักทีเดียว แต่ก็มีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คนทำ SEO ต้องใส่ใจ หากคุณเป็นคนที่ชอบเขียนบทความอยู่แล้วและต้องการทำให้เว็บไซต์ขึ้นอันดับ อย่าลืมทำบทความออกมาให้น่าอ่านและได้ใจ Google เหมือนที่เราแนะนำด้านบนด้วยนะ

บทความ SEO แบบไหนที่ bot ของ Google ชอบ

ไขข้อสงสัย บทความก็ดี แต่ทำไม SEO ไม่ติดอันดับกับเขาบ้าง

ไขข้อสงสัย บทความก็ดี แต่ทำไม SEO ไม่ติดอันดับกับเขาบ้าง

การที่เว็บไซต์จะติดอันดับใน Google ได้ ส่วนสำคัญมาก ๆ ก็คือการสร้าง บทความ SEO ที่มีประสิทธิภาพ แต่ทั้งนี้ก็ยังเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า บทความที่ทำนั้นก็มีคุณภาพ มีความรู้ มีแนวทางการเขียนถูกต้องตามหลักทั้งหมดทุกอย่าง แต่ทำไมหน้าเว็บไม่เห็นขึ้นอันดับเหมือนกับเว็บอื่น ๆ บ้างเลย ข้อสงสัยที่ว่ามานี้ บางทีต้องดูปัจจัยอื่น ๆ ประกอบด้วยว่าเพราะอะไรเว็บของคุณจึงยังไม่ติดอันดับดังที่ตั้งใจเอาไว้ หรือบางทีอาจเป็นไปได้ว่ามีบางอย่างผิดพลาด

เหตุผลของการทำเว็บดี แต่ไม่ติดอันดับ

เว็บไซต์มีปัญหาบางอย่าง : การจะทำให้เว็บติดอันดับบนหน้า Google ได้นั้นไม่ใช่แค่ตัวบทความเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าหากเว็บยังมีปัญหา ไม่ได้ประสิทธิภาพตามที่ควรจะเป็น เช่น เว็บโหลดช้ามาก ๆ ก็ทำให้คนที่กดเข้าไปไม่สนใจอยากอยู่ต่อ, ตัวเว็บทำไม่น่าสนใจ มีแต่ตัวหนังสือเต็มไปหมด รวมถึงไปการสร้างเว็บที่ยังไม่ถูกหลัก SEO เช่น ไม่มีการใส่ Meta descriptions ก็มีส่วนทำให้เว็บไม่ขยับขึ้นไปติดอันดับอย่างที่ควรจะเป็นนั่นเอง

ไม่ได้รองรับการใช้งานผ่านมือถือ : ยุคสมัยนี้ต้องยอมรับว่าการเปิดหน้าเว็บไม่ใช่แค่คอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียว แต่มือถือคืออีกเครื่องมือสำคัญแถมจะได้รับความนิยมมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะในแต่ละวันคนใช้งานมือถือมากกว่าคอมพิวเตอร์แน่ ๆ ดังนั้นถ้าเว็บยังทำเฉพาะให้เข้าอ่านได้ง่าย สะดวกจากการเข้าผ่านคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียว ยอดคนที่เข้าไปก็จะมีน้อย โอกาสการติดอันดับก็เป็นเรื่องยากตามไปด้วยเช่นกัน วิธีที่ดีสำหรับเว็บยุคเก่า ๆ ที่ยังไม่มีการปรับปรุงแก้ไข ให้รีบดำเนินการโดยเร็วที่สุด เพราะอย่าลืมว่าตัวคุณเองก็ใช้มือถือมากกว่าคอมพิวเตอร์แน่ ๆ ในการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ

มั่นใจแค่ไหนว่าบทความที่ทำดีแล้ว : การสร้างบทความ SEO แม้จะบอกว่าเขียนมาอย่างดี เนื้อหาครบถ้วน มีความน่าสนใจ แต่การทำให้เว็บขึ้นอันดับก็จำเป็นต้องรู้วิธีเขียนบทความ SEO อย่างถูกต้องด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างง่าย ๆ บทความคุณต้องไม่รีไรท์จากที่อื่นมาเด็ดขาด เพราะบางประโยคที่เหมือนกันยาว ๆ Google จะจับได้ว่าบทความนี้มีการก็อปปี้มาหรือไม่ และถ้าหากผลออกมาว่าเป็นบทความที่เขียนขึ้นซ้ำก็เท่ากับว่า เว็บจะโดนลดอันดับและกลับขึ้นมายากมาก ๆ เลยทีเดียว

ข้อสงสัยเหล่านี้ลองไปตรวจสอบเว็บไซต์ของตนเองให้ดีว่าทำไมหน้าเว็บถึงยังไม่ยอมขึ้นอันดับตามที่ตั้งใจเอาไว้เสียที จากนั้นลงมือแก้ไขในส่วนที่เป็นปัญหา หรืออาจให้คนมีความชำนาญในเรื่องนั้น ๆ ช่วยแก้ไขให้ก็ได้ รับรองว่าเว็บของคุณจะมีอันดับที่ดีขึ้นแน่นอน

เหตุผลของการทำเว็บดี แต่ไม่ติดอันดับ

ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการใช้ Yoast SEO

ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการใช้ Yoast SEO

Yoast SEO เป็น plugin ที่ใช้กับโปรแกรม WordPress สำหรับการทำ บทความ SEO ที่มีประสิทธิภาพในการแข่งขันสูง เป็นระบบที่ใช้งานง่าย สามารถที่จะแสดงผลการเปลี่ยนแปลงของ ชี้ให้เห็นจุดอ่อนขององค์ประกอบ SEO ในเว็บไซต์คุณได้ เพื่อที่จะแก้ไขได้อย่างทันท่วงทีก่อนที่จะอัปโหลดข้อมูลต่างๆ ขึ้นบนเว็บไซต์ ซึ่งจะทำให้ไม่พลาดโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจกับเว็บไซต์แบรนด์อื่นๆ

โดย Yoast SEO จะแสดงผลเป็นทางสีคือแถบสีเขียวส้มแดง มีความหมายว่า ใช้ได้ หรือต้องแก้ไข ซึ่งจะมาพร้อมกับคำเป็นตัวอักษรแนะนำในแต่ละประเด็น จึงเหมือนพี่เลี้ยงในการทำ SEO แต่ละขั้นตอนเลยทีเดียว

Yoast SEO จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้าน SEO ให้กับเว็บไซต์ได้

1. ปรับแต่งคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม

เมื่อมีการพิมพ์หาสิ่งต่างๆ ในช่อง Search Google จะมีผลลัพธ์เว็บไซต์ขึ้นในหน้าต่างการสืบค้น keyword จึงเป็นหัวใจสำคัญของการทำบทความ หากเว็บไซต์ของคุณใช้คีย์เวิร์ดที่ไม่ตรงกับคำที่คนส่วนใหญ่นิยม หรือไม่ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จะทำให้คนรู้จักเว็บไซต์ของคุณน้อย ยอดขายสินค้าของคุณก็จะไม่มีทางเพิ่มได้ Yoast SEO จะช่วยแนะนำว่า ควรเติมหรือปรับคำสำคัญอย่างไร จึงจะมีความเจาะลึกตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ควรใส่ keyword นั้นซ้ำกี่ครั้งในส่วนใดบ้างของบทความ รวมถึงการตั้งชื่อและวิเคราะห์ส่วน Meta Description ว่ามีความเหมาะสมหรือยังด้วย

2. การทำข้อมูลรูป

รูปภาพประกอบบทความนับเป็นส่วนที่สำคัญในการทำ SEO เนื่องจาก Google สามารถแยกสีได้เป็นขาวดำเท่านั้น คุณจึงต้องใส่รายละเอียดลงในฟังก์ชัน alt text เป็นคีย์เวิร์ดที่ละเอียดมากที่สุด ควรจะระบุว่าในภาพมีใคร กำลังทำอะไรอยู่ตำแหน่งที่ไหน มีบรรยากาศ หรืออารมณ์อย่างไร มีอุปกรณ์อะไรบ้างในภาพ การใช้ Yoast SEO จะช่วยให้คุณทำ SEO กับรูปภาพได้ง่ายยิ่งขึ้น

3. การ ทำ Link ของบทความ

การทำลิงก์จะช่วยเพิ่มค่า traffic ของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ อาจจะเป็นบทความที่มีเนื้อหาสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสินค้าของคุณ เช่น คุณขายสินค้ากลุ่ม Organic ควรเชื่อมโยงลิงก์กับเว็บไซต์งานวิจัยใหม่ๆ ที่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่ปลอดจากสารพิษสารเคมี หรือนำเสนอข่าวปัญหาสารพิษสารเคมีที่จะเกิดกับร่างกาย เพื่อทำให้ผู้อ่านได้ตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติให้มากที่สุด จะทำให้ยอดขายสินค้าของคุณเพิ่มขึ้น นอกจากนี้การทำ hyperlink เชื่อมโยงระหว่างเพจด้วยฟังก์ชัน visual text editor ยังทำได้ง่าย เป็นการขยายความขึ้นในเพจใหม่ที่เข้าใจง่ายและประหยัดเวลาของผู้อ่านด้วย

จะเห็นได้ว่า Yoast SEO มีประโยชน์หลายด้าน ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณมีอันดับการสืบค้นดีขึ้น เราหวังว่าบทความนี้ จะทำให้ทุกท่านเห็นประโยชน์ในการศึกษาวิธีใช้งาน Yoast SEO เพื่อต่อยอดทางธุรกิจมากยิ่งขึ้น

Yoast SEO จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้าน SEO

เรียนรู้เทคนิคการทำ บทความ SEO 2019

เทคนิคแบบมืออาชีพ

การจะประสบความสำเร็จในการทำเว็บไซต์ออนไลน์ สิ่งที่ห้ามมองข้าม คือ การเขียนบทความ SEO ที่มีคุณภาพ ซึ่งจะดึงดูดให้เพิ่ม traffic ของผู้ชมให้เข้ามาในเว็บไซต์ และทำให้มีโอกาสในการขายสินค้าและบริการมากขึ้นตามไปด้วย

การทำบทความสำหรับเว็บไซต์ SEO (search engine optimization) มีความแตกต่างจากบทความทางวิชาการ ข่าว หรือโฆษณาเพราะต้องให้ความสำคัญในการเลือก keyword SEO ที่เหมาะสม ซึ่งโดยทั่วไปสามารถหาคีย์เวิร์ดได้จากการใช้ช่อง Google search อย่างที่ใช้หาข้อมูลร้านค้าต่าง ๆ เมื่อใส่คำลงไปแม้สั้น ๆ ก็จะมีคำอีกมากในช่องสีขาวที่ปรากฏอย่างอัตโนมัติ นั่นคือ คำที่มาจากการพิมพ์ค้นหาจริงของคนทั่วไป ซึ่งผู้ต้องการทำบทความสำหรับเว็บไซต์ SEO นำมาใช้ได้

เทคนิคแบบมืออาชีพ

หากต้องการเทคนิคแบบมืออาชีพ โดยดูตัวอย่างจากเว็บไซต์ที่ประสบความสำเร็จ สามารถผลิตบทความ SEO ที่มีคุณภาพสูงจนแสดงชื่อเว็บไซต์อยู่ในหน้าแรกของ Google search ได้ ว่าใช้ keyword SEO อย่างไรบ้าง ก็สามารถใช้ เครื่องมือในเว็บไซต์พิเศษ ที่ชื่อว่า Ubersuggest ที่มีระบบอัลกอริทึมในการวิเคราะห์ได้ว่าเว็บไซต์ชั้นนำทางธุรกิจต่าง ๆ มีการใช้คีย์เวิร์ดอะไรบ้าง การใช้บริการเว็บไซต์ Ubersuggest นับว่าเป็นตัวช่วยที่มีประสิทธิภาพสูงในการผลิตบทความ SEO เพื่อชิงตำแหน่งการแข่งขันอันดับใน Google โดยจะมีผล traffic ของแต่ละคีย์เวิร์ดแสดงให้เห็น เพื่อนำไปวิเคราะห์ได้อย่างละเอียด

ทั้งนี้ คำสำคัญที่นิยมใช้เป็น keyword ในปี 2019 จะเป็นคำที่มีความยาวเพิ่มส่วนขยาย และเป็น niche keyword คือ เฉพาะเจาะจงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (มีการระบุยี่ห้อ รุ่นสินค้า เพศผู้ใช้สินค้า ฯลฯ) ควบคู่กับคีย์เวิร์ดหลัก โดยมีข้อแนะนำจากกูรูด้านการตลาดออนไลน์ว่า แต่ละบทความ SEO ต้องมีการใส่ keyword ที่กระจายตัวทั่วไปในเพจและไม่ซ้ำกันมากเกินกว่า 2-3 ครั้งในแต่ละบทความ เพื่อป้องกันระบบ algorithm ของ Google วิเคราะห์ว่าเป็นบทความคุณภาพต่ำ หรือ spam content ที่จะทำให้อันดับในการสืบค้นของเว็บไซต์แย่ลงได้

เคล็ดลับสำคัญในการเขียนบทความ SEO ที่ดี และแก้ไขจุดบกพร่องได้อย่างรวดเร็ว คือ การใช้ปลั๊กอิน อย่าง Yoast SEO ซึ่งสามารถติดตั้งได้ฟรี เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้โปรแกรม wordpress ในการเขียนบทความอยู่แล้ว เพราะเป็น plugin ที่ถูกออกแบบมาให้ช่วยนักพัฒนาเว็บไซต์วิเคราะห์ประสิทธิภาพในการแข่งขันด้าน SEO ได้ดี ตั้งแต่การคิดชื่อหัวข้อ (Title) เนื้อหาส่วนสรุปบทความแบบสั้น (Meta-description) เนื้อหา Content รวมถึงช่วยในการทำ hyperlink การโพสต์บทความ SEO สู่ระบบ Facebook (โดยกดปุ่ม Social share) ก็ทำได้อย่างง่ายดายผ่านปลั๊กอิน Yoast SEO ด้วย

จะเห็นได้ว่า เทคนิคการทำบทความ SEO ให้มีประสิทธิภาพสูงที่กล่าวมาเป็นสิ่งที่ผู้ทำเว็บไซต์ SEO ควรจะศึกษาในเชิงลึกและนำไปปรับใช้กับธุรกิจออนไลน์ต่อไป เพื่อให้มีอันดับในผลการค้นหาสูงขึ้นและติดอันดับหน้าแรกได้

เรียนรู้เทคนิคการทำ บทความ SEO 2019